การเลือกซื้อ ปริ้นเตอร์ ปี 2554

การเลือกซื้อ ปริ้นเตอร์ ให้เหมาะสมกับงาน

ในปี 2554
ในการเลือกซื้อพรินเตอร์ควรคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด ให้เกิดความคุ้มค่ากับเงิน สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือการใช้งานเป็นหลักว่าผู้ใช้ต้องการพรินเตอร์ไปใช้งานประเภทใดเป็นส่วนใหญ่

ประเภทของพรินเตอร์นั้นที่เห็นอย่างชัดเจนในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันถึง 4 ประเภท
มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น การใช้งานมีความหลากหลายมากขึ้นแบ่งได้ดังนี้ครับ

1.ประเภท Dotmatix เหมาะสมสำหรับห้างร้าน ผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องพรินเตอร์ที่สามารถทำสำเนาได้ พรินเตอร์ประเภท Dotmatix นี้การพิมพ์โดยใช้หัวเข็ม ไม่ได้ใช้เป็นหัวพ่นจึงไม่จำเป็นจะต้องซื้อน้ำหมึกแต่ต้องซื้อผ้าหมึกแทนคล้ายๆกับเครื่องพิมพ์ดีดแบบปกติทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ประหยัดเงินค่าซื้อน้ำหมึกไปได้มาก เนื่องจากผ้าหมึกมีอายุการใช้งานสูงกว่าใช้น้ำหมึกมากหลายเท่า จึงเหมาะกับการใช้งานในสำนักงานที่ต้องการใช้พิมพ์เพียงเอกสารแบบปกติ อย่างพวกใบเสร็จต่างๆ และงานพิมพ์ทั่วไป ในด้านการใช้งานตัวเครื่องมีความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ได้กับกระดาษหลายประเภท
การเลือกซื้อพรินเตอร์ประเภทนี้เรื่องความละเอียดในการพิมพ์เรามองข้ามไปได้เลย เพราะปกติของพรินเตอร์ Dotmatix ค่าความละเอียดสูงสุดแล้วอยู่ที่ 360×360 จุดต่อตารางนิ้วทั้งหมด จำนวนหัวเข็มของเครื่องพิมพ์จะมีตั้งแต่ 24 หัวเข็ม 32 หัวเข็ม ยิ่งจำนวนหัวเข็มมากก็จะทำให้งานที่พิมพ์ออกมามีความละเอียดขึ้น ความเร็วในการพิมพ์ตัวอักษรมีตั้งแต่ 192 ต่อCPS, 240, 264, 300, 360, 375, 390, 400, 432, 450 จนถึง 504 ต่อCPS
หมายเหตุ CPS คือ ความเร็วในการพิมพ์ตัวอักษรต่อนิ้ว

จะเห็นได้ว่าเพียงความเร็วในการพิมพ์ตัวอักษรก็มีให้เลือกมากแล้ว ส่วนนี้คงอยู่ที่ความพอใจของผู้ซื้อเองว่าจะเลือกความเร็วที่เท่าไรค่าความต่างในการพิมพ์ไม่ได้ต่างกันมากเพียงไม่กี่วินาทีต่อแผ่น
สิ่งสำคัญต่อมาเป็นจำนวนที่สำเนาที่เครื่องสามารถทำได้ เช่น 1 ต้นฉบับ 3 สำเนา, 1 ต้นฉบับ 4 สำเนา ไปจนถึง 1 ต้นฉบับ 7 สำเนา ส่วนนี้แล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้ครับ กระดาษก็เป็นเรื่องสำคัญครับแต่ในพรินเตอร์ Dotmatrix แล้วจะใช้กระดาษต่อเนื่องที่เป็นทำเป็นสำเนา ความกว้างของกระดาษก็เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงครับ ถ้าเครื่องพิมพ์มีความกว้างของกระดาษไม่พอ ก็ทำให้ไม่สามารถพิมพ์งานได้ครับ ในส่วนอื่นๆ ก็เหมือนๆกันไม่ได้แตกต่างกันมาก ช่องต่อพอร์ต เป็น Parallel โดยส่วนใหญ่ มีไม่กี่รุ่นที่ต่อพอร์ต USB ได้ด้วย ที่น่าพิจารณาก็อยู่ตรงที่หน่วยความจำบัฟเฟอร์ยิ่งมากยิ่งดีครับเพราะเครื่องจะมีความยืดหยุ่นในการทำงานสูงขึ้น

2. ประเภท Inkjet เหมาะสมสำหรับการใช้งานโดยรวม สามารถพิมพ์เอกสาร รูปภาพที่เป็นขาว-ดำ และสีได้ เหมาะสมกับผู้ใช้ทั่วไปทุกระดับตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงสำนักงานใหญ่ ๆ และกำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดบ้านเราขณะนี้ เนื่องจากมีราคาตั้งแต่ไม่กี่พันบาท ไปจนถึงหลักหมื่นเลย
เนื่องมาจากว่าเครื่องพรินเตอร์ประเภทนี้มีขายในตลาดบ้านเรามากมายหลายรุ่นจริงๆ
ในแต่ละรุ่นมีการทำงานที่แตกต่างกันหลายอย่าง คือมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน พรินเตอร์ประเภทInkjet พิมพ์งานโดยใช้ตลับน้ำหมึก เวลาเลือกซื้อต้องดูด้วยว่ารุ่นนี้ใช้ตลับน้ำหมึกแบบไหนรุ่นอะไร ตลับสีและดำ ราคาเท่าไรแต่ละแบรนด์ราคาตลับหมึกถูกบ้างแพงบ้างต่างกันไป เรื่องของคุณภาพของน้ำหมึกมีข้อแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยบ้างรุ่นตลับสีแบบรวมไม่ได้แยกเป็นสี ตรงจุดนี้แบบรวมจะมีข้อเสียเล็กน้อยที่ถ้าตลับสีแบบรวมสีหนึ่งสีใดหมดต้องเปลี่ยนทั้งตลับเลย ไม่เหมือนกับแบบแยกสีที่ถ้าสีใดหมดก็เปลื่ยนเพียงสีนั้นสีเดียวได้แต่ปัจจุบันรุ่นใหม่ๆที่ใช้ตลับหมึกสีแบบรวมมีเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้น้ำหมึกสีหมดแบบพอๆกัน เพื่อนำมาแก้ปัญหาตรงจุดนี้ หากผู้ใช้เน้นทำงานกราฟิกเป็นส่วนใหญ่ขอแนะนำให้ใช้พรินเตอร์ที่มีตลับหมึกสีแยกจะดีกว่าเพราะจะประหยัดกว่ามากครับ ส่วนผู้ใช้ที่เน้นการทำงานปกติ มีพิมพ์ภาพบ้างใช้แบบตลับหมึกสีรวมก็พอแล้วครับ
ค่าความละเอียดของตัวเครื่องให้เลือกที่ความเหมาะสมดูไม่ควรต่ำกว่า 1200×1200 จุดต่อตารางนิ้ว สำหรับผู้ที่ใช้งานปกติ ตรงนี้ไม่ใช่ว่าความละเอียดต่ำกว่านี้จะไม่ดีนะครับ แต่เพื่อการทำงานในอนาคตและราคาก็แตกต่างกันเล็กน้อย สำหรับผู้ที่ทำงานกราฟิก ออกแบบน่าจะเลือกความละเอียดประมาณ 4800×1200 จุดต่อตารางนิ้ว ขนาดช่องใส่กระดาษก็ปกติ A4 หากมีทุนหน่อยก็เลือกเครื่องที่ใส่กระดาษขนาด A3 ได้ไปเลย
ส่วนช่องพอร์ตจะมีตั้งแต่ Parallel, USB 1.1/2.0 ให้เลือกที่เป็น USB ครับเพราะการรับส่งข้อมูลจะเร็วกว่าแบบParallel เรื่องราคาอยู่ที่ความพอใจเลยครับ ราคาถูกประสิทธิภาพการทำงานต่างก็ลดลงเช่นกัน ถ้าต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงก็ลงทุนหน่อยนะครับ
ปัจจุบันนี้เครื่องพรินเตอร์แบบ Inkjet สามารถจะพิมพ์รูปภาพจากกล้องดิจิตอลโดยตรงได้โดยที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือสามารถอ่านสื่อบันทึกข้อมูลแบบ Memory Stick, MulitMedia Card(MMC), Secure Disk(SD), CompactFlash (CF) และ XD เหมาะสำหรับหรับผู้ใช้ที่มีกล้องดิจิตอลอยู่แล้วต้องการเครื่องพรินเตอร์ที่สามารถพิมพ์ภาพได้ บางรุ่นก็มีหน้าจอบนตัวเครื่องทำให้สามารถเลือกดูภาพจากตัวเครื่องพรินเตอร์ได้ก่อนที่จะพิมพ์ บางรุ่นก็ไม่มีแต่ก็สามารถดูภาพที่ตัวกล้องแทนได้ ในส่วนกระดาษที่ใช้ถ้าเป็นการพิมพ์เอกสารธรรมดาประเภท Word, Excel ควรจะใช้กระดาษที่ใช้ควรจะเป็นกระดาษที่มีความหนา 80 แกรมขึ้นไปครับ เพราะความหนาของกระดาษจะช่วยให้ตัวอักษรที่พิมพ์ออกมาอีกความคมชัดด้วย ถ้าเป็นการพิมพ์รูปภาพ ควรจะใช้กระดาษโฟโต้เหมาะที่สุดครับ คุณภาพในด้านสีและความละเอียดที่ออกมาจะทำให้สามารถแสดงสีได้ไม่ผิดเพี้ยนมากเกินไป
 
3. ประเภท Laser เหมาะสมกับการใช้งานร่วมกันในผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความละเอียด สำนักงานขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่มีงานเอกสารปริมาณที่มาก สำหรับพรินเตอร์ประเภท Laser นับว่ามีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยในตลาดบ้านเราเมื่อเทียบกับการทำงานทั่วไปของพรินเตอร์ประเภทนี้กับเครื่องพรินเตอร์ประเภท Inkjet จุดแตกต่างที่เห็นกันอย่างชัดเจนคงต้องเป็นในเรื่องของปริมาณการพิมพ์ที่พรินเตอร์ประเภทเลเซอร์ สามารถพิมพ์ได้จำนวนมากกว่า ใส่กระดาษได้มาก รวดเร็วกว่าในการพิมพ์ในจำนวนมากๆ มีความคมชัดสูงทั้งพิมพ์สี ขาวดำและยังสามารถแชร์การทำงานกับผู้ใช้หลายคนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าประเภทอื่น ในปัจจุบันนี้เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์พรินเตอร์ได้มีการนำออกมาวางจำหน่ายกันมากมายหลายรุ่น โดยในแต่ละรุ่นก็จะมีประสิทธิภาพและฟังก์ชันในการทำงานที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อเลเซอร์พรินเตอร์ที่เหมาะสมกับลักษณะงานและปริมาณงานในองค์กรของตนให้มากที่สุด ส่วนในเรื่องของราคานั้นอาจจะมีราคาสูงนิดหน่อย แต่ก็คุ้มค่าครับ กับประสิทธิภาพที่ดีกว่ามีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง ส่วนในการเลือกซื้อควรดูที่ฟังก์ชันการทำงานเป็นหลักว่าเหมาะสมกับงานของเราหรือเปล่า ถ้ามีฟังก์ชันมากก็จะทำให้ผู้ใช้สะดวกมากขึ้น สำหรับในการทำงานร่วมกันหลายคน
ในด้านความละเอียดให้ดูที่ความเหมาะสมกับงาน แนะนำว่าพรินเตอร์เลเซอร์เหมาะมากครับสำหรับการใช้งานในสำนักงาน ดูจะไม่เหมาะเท่าไรนักถ้าจะซื้อมาใช้งานส่วนตัวเพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องประเภทนี้เน้นสนับสนุนระบบเน็ทเวิร์กเป็นหลักครับ ในด้านความละเอียดของเครื่อง Laser มีความละเอียดทั้งแต่ 600 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว ไปจนถึง 1200 x 1200 จุดต่อตารางนิ้ว ความเร็วในการพิมพ์ก็มีส่วนสำคัญครับ ความเร็วในการพิมพ์ของเครื่อง Laser ก็สามารถพิมพ์ในโหมดขาว – ดำได้ตั้งแต่ 10 แผ่นต่อนาทีขึ้นไป ส่วนโหมดสีตั้งแต่ 6 แผ่นต่อนาทีขึ้นไป
ต่อมาก็มาดูที่หน่วยความจำของเครื่องพรินเตอร์ ส่วนใหญ่ใน Laser พรินเตอร์จะติดตั้งหน่วยความจำตั้งแต่ 8 MB, 16 MB, 32 MB ไปจนถึง 96 MB แต่ก็สามารถเพิ่มเติมได้อีก ยิ่งมีหน่วยความจำมากเท่าไหร่ก็จะทำให้เครื่องพิมพ์สามารถประมวลผล และรับงานในปริมาณที่มาก พิมพ์งานออกมาได้รวดเร็วขึ้น
ลำดับต่อมาเป็นการเชื่อมต่อมีตั้งแต่ Parallel, USB 1.1/2.0, Ethernet ในส่วนนี้แล้วแต่ผู้ใช้ครับ แต่ขอแนะนำให้เลือกใช้ที่เป็นการเชื่อมต่อแบบ USB 1.1/2.0 ดีกว่าครับ เพราะจะทำให้การส่งข้อมูลมีความรวดเร็วกว่าแบบอื่น
โทนเนอร์ก็มีส่วนสำคัญครับ ถ้าราคาโทนเนอร์แพงก็ไม่คุ้มค่าที่จะใช้งานต้องระมัดระวังในส่วนนี้ด้วย
กระดาษที่ใช้กับเครื่อง Laser สามารถใช้กระดาษขนาด A4 บางรุ่นก็สามารถพิมพ์กระดาษขนาด A3 ได้ ส่วนถาดใส่กระดาษใน Laser บางรุ่นสามารถเพิ่มถาดกระดาษได้ เหมาะสำหรับงานที่มีปริมาณเอกสารมาก ไม่ต้องกังวลว่าปริมาณกระดาษจะพอไหม ในส่วนการใช้งาน Laser พรินเตอร์แบบขาว- ดำเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เน้นงานเอกสารเป็นหลัก ไม่ต้องการพิมพ์รูปภาพ หรือข้อความที่เป็นสี ทำให้ได้ตัวอักษรที่คมชัดกว่าเครื่องพรินเตอร์ Inkjet หลายเท่า ส่วน Laser พรินเตอร์แบบสีเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เน้นงานด้านรูปภาพ แต่ก็มีงานด้านเอกสารด้วย

4.ประเภท Multifunction น้องใหม่ที่ออกมาพร้อมอุปกรณ์ทำงานที่ครบเครื่องทั้ง พิมพ์ สแกน ก๊อปปี้ และส่งแฟกซ์ คุ้มค่ากับราคาที่น่าลองสำหรับเครื่องมัลติฟังก์ชันหรือออลอินจะเป็นการนำเอาความสามารถและฟังก์ชันการทำงานของอุปกรณ์ต่อพ่วงหลัก ๆ มารวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างครบชุด ซึ่งประกอบไปด้วย เครื่องพรินเตอร์ เครื่องสแกนเนอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องแฟกซ์ แต่สำหรับเครื่องมัลติฟังก์ชั่นในบางรุ่นอาจจะไม่ได้รวมเอาเครื่องแฟกซ์มาด้วยก็ได้ แต่หลัก ๆ อย่างไรก็สามารถพิมพ์งาน สแกน และถ่ายเอกสารได้ครับ ส่วนการทำงานของเครื่องมัลติฟังก์ชันมีการพัฒนาในเรื่องของการทำงานให้มีการทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มที่มากขึ้น อย่างที่เราจะเห็นได้จากฟังก์ชันในการถ่ายเอกสารนั่นเองซึ่งจะเป็นการประสานงานในการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องสแกนเนอร์กับพรินเตอร์ นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มฟังก์ชันในการสั่งงานบางอย่างที่จะช่วยให้การถ่ายเอกสารทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย อย่างเช่น การย่อหรือขยายเอกสาร การทำสำเนา หรือจะเป็นการปรับเลือกโหมดการถ่ายเอกสารสีหรือการถ่ายเอกสารขาว-ดำได้ เป็นต้น
ถ้าเครื่องมัลติฟังก์ชันที่มีแฟกซ์ในตัวเราจะสังเกตได้จากแผงควบคุมที่จะมีปุ่มสำหรับกดเลขหมายโทรศัพท์ได้ครับ สำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะสำหรับเครื่องมัลติฟังก์ชันนี้จะมีทั้ง กลุ่มธุรกิจองค์กรทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง โฮมออฟฟิศ และกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้าน ซึ่งสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้านนั้นในตอนนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทางผู้ผลิตทั้งหลายต่างก็ได้ส่งเครื่องมัลติฟังก์ชันราคาประหยัดลงมาทำตลาดกัน ซึ่งจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณสี่พันกว่าบาทเท่านั้นในการเลือกซื้อเครื่องมัลติฟังก์ชัน เราอาจจะพิจารณาจากความละเอียดในการพิมพ์เป็นอันดับต้น ๆ ก็ได้ แต่สำหรับการซื้อมัลติฟังก์ชันนั้นต่างกันเนื่องจากมัลติฟังก์ชันเป็นอุปกรณ์แบบรวมชิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคาดหวังว่าในการพิมพ์ต้องมีความละเอียดเท่านี้ สแกนเนอร์ต้องสแกนงานได้ที่ความละเอียดเท่านี้นั้นเป็นเรื่องที่กำหนดได้ยาก ถ้าให้ดีเราควรเลือกซื้อตามความต้องการและความเหมาะสมในการใช้งานเป็นหลักดีกว่า
ที่มาบทความ http://www.mycom1977.com/
http://www.inktankshop.wordpress.com/

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...